Review: สวนโมกข์นานาชาติ

btt

ต้องออกตัวก่อนว่าตอนที่ไปสวนโมกข์นั้นยังไม่ได้คิดจะเขียนรีวิว เพราะไม่มีบล็อก ไม่มีเฟสบุ๊ค เลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ตอนนี้เมื่อคิดจะเขียนรีวิวเลยต้องอาศัยรูปตามอินเตอร์เน็ตที่คิดว่าตรงกับความทรงจำของเรามากที่สุด ซึ่งเครดิตก็จะถูกรวบรวมเอาไว้ท้ายโพสต์เลยค่ะ

สวนโมกข์นานาชาติเป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมตามแนวทางอานาปานสติ โดยมีท่านพุทธทาสอินทปัญโญเป็นอาจารย์ใหญ่ของที่นั่น ซึ่งถึงแม้ว่าท่านจะมรณภาพไปแล้ว แต่ในระหว่างการปฎิบัติเราก็จะได้ฟังเทศน์เสียงเทปของท่านอยู่เสมือนกับว่าท่านยังมีชีวิต ยังอยู่สั่งสอนเราไม่ได้ไปไหน

หลักสูตรของสวนโมกข์หลักๆจะแบ่งออกเป็น 2 หลักสูตร คือหลักสูตรของคนไทย และคนต่างชาติ โดยหลักสูตรของคนไทยจัดขึ้นวันที่ 19-27 ของทุกเดือน และหลักสูตรของคนต่างชาติจะจัดขึ้นวันที่ 1-11 ของทุกเดือน

คุณสมบัติของผู้รับการอบรม

๑.      อายุระหว่าง ๒๐-๖๕ ปี

๒.     ไม่เป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม

๓.      มีความตั้งใจจริง และมีความศรัทธาที่จะรับการอบรม

๔.      พร้อมและเต็มใจรักษาและปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนด โดยเฉพาะการงดพูดคุยสนทนาตลอดเวลาทั้ง ๗ วัน

การสมัครง่ายค่ะ จัดกระเป๋าไปที่สวนโมกข์นานาชาติในวันเริ่มต้นการปฎิบัติได้เลยตั้งแต่เช้าจนถึงก่อน 3.30 น. เพราะนั่นจะเป็นเวลาที่วิทยากรจะเริ่มแนะนำสถานที่ ซึ่งสำคัญค่ะ เพราะถือว่าเป็นการทำความคุ้นเคยกับบ้านใหม่ของผู้ปฎิบัติ ที่สำคัญคือตัวสวนโมกข์นานาชาติเองนั้นค่อนข้างกว้าง และมีกฎกติกาต่างๆที่เราต้องทำตามอยู่บ้าง เราจึงควรเข้าร่วมการ “รับน้อง” ในครั้งนี้

ไปก่อนเวลาไม่ต้องกลัวค่ะ ที่ปฎิบัติธรรมมีเตรียมอาหารเที่ยงไว้ไห้ด้วยนะค่ะ

การเดินทาง ขออนุญาตให้เช็คเว็บไซต์สวนโมกข์ตามลิงค์ด้านล่างนะค่ะ เพราะเราอยู่หาดใหญ่เลยติดรถคนรู้จักไปถึงสถานที่ปฎิบัติที่สุราษฎร์เลยค่ะ

http://www.suanmok.com/2012-05-21-07-52-41.html

ทีนี้จะเริ่มรีวิวจริงๆแล้วนะค่ะ

รูปด้านบนเป็นสถานที่ๆเราจะต้องเข้าลงทะเบียน และก็จะเป็นศาลาที่เราใช้ทานข้าวกันด้วยค่ะ ที่สวนโมกข์จะให้เราถือศีล 8  คือศีล 5 ข้อ + ละเว้นร้องรำหรือชมการร้องรำ ละเว้นเครื่องผัดหน้า หรือพูดง่ายๆคือไม่แต่งหน้า/ทาของหอม + ละเว้นการทานอาหารในยามวิกาล หรือไม่ทานอาหารชนิดที่ขบเคี้ยวได้หลังเที่ยง + ละเว้นการนอน นั่งบนที่นอนสูงใหญ่ พูดง่ายๆคือไม่ให้นอน นั่งสบายเกินความจำเป็นจนเหมือนเป็นการสนองกิเลสตัวเอง

วันหนึ่งในการปฎิบัติวิทยากรจะให้เราถือศีลอุโบสถ เป็นศีลพิเศษ มีอานิสงค์มาก ในวันนี้เราทานอาหารได้แค่มื้อเดียว หลายคนคงจะคิดว่าหิวแย่ แต่จริงๆแล้วถ้าเราทำความตั้งใจดูมันก็ไม่หิวอย่างที่คิดนะ แถมรู้สึกดีด้วยค่ะ อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราก็ถือศีลอุโบสถกันทุกๆวันพระเลยทีเดียว ไปปฎิบัติธรรมครั้งนี้เลยจะคุ้มค่ามากๆ รับบุญกันไปเต็มๆ

เรื่องอาหารการกิน ที่สวนโมกข์จะทานมังสวิรัติ คืองดเว้นเนื้อสัตว์ แต่ทานไข่ได้นะค่ะ อาหารอยากจะบอกว่า อร่อยมากกกกๆๆๆๆ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลย มื้อเย็นก็ดื่มน้ำปานะ ซึ่งก็คือน้ำหวานต่างๆ ช่วยหยุดความหิวได้ดีมากๆค่ะ

เมื่อลงทะเบียนเสร็จก็ฝากโทรศัพท์ ลงชื่อทำงานอาสาต่างๆแล้วก็เอาของเข้าห้องค่ะ แล้วก็ถือโอกาสทำความสะอาดกันเลย ห้องนอนก็จะคล้ายๆภาพด้านบน อาจจะมืดไปหน่อยนึง ห้องที่เราอยู่จะมีหน้าต่างด้านหัวเตียงเลยจะมีแสงสว่างเข้ามาในห้องได้มากกว่า แต่ห้องของแม่เราก็เหมือนอย่างนี้เลยค่ะ มันอยู่ที่ว่าเราจะได้ไปพักในตึกที่มี lay-out แบบไหน แต่แม่เราก็ชอบห้องของตัวเอง และเราก็ชอบห้องของเรา เลยไม่รู้จะบอกว่าห้องไหนมันดีกว่ากัน หมอนที่เห็นเป็นหมอนไม้ค่ะ อย่าได้สงสัย เรานอนมาแล้ว นอนได้จริงๆ

บางคนเห็นรูปห้องแล้วอาจจะกลัว แต่จริงๆแล้วเมื่อได้เข้าไปอยู่ เข้าไปทำความเข้าใจกับธรรมชาติอย่างที่มันเป็น มันก็ไม่แย่ค่ะ

ส่วนด้านบนนี้ก็คือรูปหอพัก อันนี้น่าจะเป็นหอพักของเราเลยแหละ เห็นแล้วคิดถึงจังเลย ไปสวนโมกข์ สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้ก็คือความเข้าใจถึงธรรมชาติค่ะ เพราะ Concept ที่ท่านพุทธทาสได้วางเอาไว้ก็คือเราจะต้องอยู่ในที่ๆมีสภาพใกล้เคียงกับสภาพของสถานที่ๆสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เราจึงจะเข้าใจจริงๆว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้อะไร ซึ่งสิ่งที่ได้รับคือความสงบ และความสุขแบบเย็นๆอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เป็นประสบการณ์ที่ดีจริงๆค่ะ

บรรยากาศดีมั้ยค่ะ อยู่ในเมืองไม่มีทางได้เจอแบบนี้หรอก

อันนี้เป็นศาลาสีเขียวค่ะ เป็นศาลาที่เราชอบมานั่งปฎิบัติธรรมในทุกสถานการณ์ บรรยากาศดีมาก มองเห็นวิวน้ำ ลมดี และไม่ร้อนแม้ว่าจะเป็นตอนบ่ายที่ควรจะร้อนอบอ้าวก็ตาม ถ้าเป็นรอบที่คนน้อยเค้าก็จะมาเข้าปฎิบัติกันที่ศาลานี้แหละคะ

นี่เลยค่ะวิวน้ำที่พูดถึง แทบทุกคืนเราก็ต้องมาเดินจงกรมกันรอบอ่างน้ำนี้แหละค่ะ

ศาลาทราย

อันนี้เป็นภาพของศาลาทรายและภายในศาลาทราย จะเห็นว่าพื้นทั้งหมดนั้นเป็นทราย แต่เราจะไม่ได้เดินลงบนทรายเหล่านี่ด้วยรองเท้านะคะ เราใช้เท้าเปล่าค่ะ

ทีนี้เข้าเรื่องการปฎิบัตินิดนึงนะค่ะ

อย่างที่ได้บอกมาแล้วตั้งแต่ตอนเริ่มต้นว่าการปฎิบัติที่นี่จะเป็นไปตามแบบอานาปานสติ โดยจะดูลมหายใจเข้าออก ดูจุดกระทบของลมตั้งแต่ที่หายใจเอาอากาศเข้าไปทางปากโพรงจมูกตามเข้าไปจนถึงบริเวณท้องน้อยแล้วก็ออก ไม่มีการบริกรรมเหมือนสายพองยุบ การเดินจงกรมอนุโลมให้มีการพูดตามกิริยาท่าทางหรือที่เรียกว่าบริกรรมนิดหน่อย อาจจะเพื่อความสะดวกในการสอน เพราะถ้าจะให้แค่พูดว่าสังเกตุอาการเดิน บางท่านอาจจะไม่เข้าใจว่าต้องสังเกตุละเอียดละออมากขนาดไหน

อยากสารภาพว่า จริงๆแล้วเราผ่านการฝึกปฎิบัติในแบบพองยุบมาก่อนแล้วค่อนข้างเยอะมาก เลยออกจะติดคำบริกรรมอยู่เหมือนกัน ทำให้เรารู้สึกแปลกเอามากๆเมื่อต้องมาเจอกับความเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ แต่เราก็พยายามปฎิบัติตามวิธีที่วิทยากรแนะนำอย่างเต็มที่ พบว่าอานาปานสติก็ดีมากทีเดียว เพราะมันสงบ เงียบ คืออย่างที่ท่านพุทธทาสได้กล่าวไว้ว่ามันเงียบที่สุด สงบเย็นที่สุด ไม่มีการพร่ำบ่นกับตัวเอง อย่างไรก็ตาม การที่จะบอกว่าการปฎิบัติแบบนี้ดีหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะแต่ละคนก็มีความชอบที่แตกต่างกัน ถ้าลองฟังวิธีการปฎิบัติจากผู้ปฎิบัติเก่าดูแล้วเห็นว่าเป็นวิธีที่เรารับได้ และลองพิจารณาดูแล้วว่าเป็นวิธีที่ช่วยให้กิเลสหนาๆของเราเบาบางลง เราว่าลองเข้าปฎิบัติดูก็คงจะไม่เสียหายอะไร อย่างแย่ที่สุด เราก็แค่ลืมการปฎิบัติแบบนี้ไปซะ แล้วก็กลับไปปฎิบัติวิธีอื่นๆต่อไป ของอย่างนี้ฟังจากคนอื่นอย่างเดียวมันไม่ได้ค่ะ

โดยรวมแล้วเป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมของแท้อีกแห่งหนึ่งเลยค่ะ ควรไปดูซักครั้ง โดยเฉพาะกับผู้ที่อยากจะปฎิบัติแบบอานาปานสติอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้ปฎิบัติสายอื่นๆ ที่ไม่ชอบแนวทางนี้ สิ่งที่ท่านจะได้รับกลับไปคือคำเทศน์ที่ดีที่สุดในโลก และความเข้าใจในความเป็นพุทธศาสนาที่แท้จริง เพราะไม่ว่าท่านจะปฎิบัติแบบไหน หากท่านปฎิบัติในทางที่ถูกต้องแล้ว หลักการปฎิบัติหรือแก่นการปฎิบัติจะต้องเหมือนกัน สามารถนำไปประยุกต์ใช้กันได้แน่นอนค่ะ

สำหรับท่านที่ตัดสินใจจะแพ็คกระเป๋าไปสวนโมกข์แล้ว สิ่งที่ท่านต้องเตรียมไปมีดังนี้

  1. ชุดสีสุภาพไม่มีลายดอก ลายเขียน ไม่มีสีแหลมบาดตา ไม่โป๋ ไม่บาง ไม่สั้น สวมใส่สบาย
  2. ไฟฉายกระบอกเล็ก
  3. ย่ามสำหรับใส่ของไปนู่นมานี่ ไม่ต้องใหญ่มากนะค่ะ เอาพอดีๆ
  4. เสื้อหนาว หรือจะให้ดีน่าจะเป็นผ้าคลุมไหล่เพราะใช้ได้ทั้งกันยุงและกันลมกันหนาว อย่าดูถูกสถานที่ที่ไร้เครื่องปรับอากาศนะค่ะ บางทีมันเย็นจริงๆค่ะ
  5. ยากันยุง แนะนำซอฟเฟลค่ะ ไม่เหนียวด้วย
  6. ผ้าห่ม อย่าหนาแต่ก็อย่าบางเท้าผ้าแพรนะค่ะ เพราะตอนเช้าๆอากาศหนาวเหมือนกันค่ะ
  7. แล้วแต่อากาศ แต่อาจจะต้องนำร่มไปด้วย โดยเฉพาะหน้าฝน
  8. ผ้าเช็ดเท้าก่อนขึ้นเตียงซักผืน เพราะท่านต้องเดินไปบนพื้นที่อาจจะเปื้อนทรายด้วยเท้าเปล่า มีผ้าไว้เช็ดเท้าซักหน่อยก็จะดีนะค่ะ
  9. ขันและอุปกรณ์ในห้องน้ำตามที่ท่านถนัด แต่อย่าเยอะนะค่ะ เราไปปฎิบัติธรรมและถือศีล 8 ด้วย ควรเอาเฉพาะเครื่องชำระล้างร่างกายเท่านั้นค่ะ
  10. ผ้าถุงสำหรับผู้ชาย โจงกระเบนสำหรับผู้หญิง ผู้หญิงควรเอาแบบมียางยืดนะค่ะ จะสะดวกหน่อย
  11. ถ้าเป็นกังวลเรื่องน้ำดื่มก็เอาขวดน้ำติดไปด้วยก็ได้ค่ะ เค้ามีน้ำให้เติมได้
  12. หมวกกันแดดสำหรับผู้กลัวแสงแดด
  13. รองเท้าแตะใส่สบาย อย่าเอาอย่างดีไปนะค่ะ เพราะมันต้องมอมแมมแน่นอน
  14. ของใช้ส่วนตัวอื่นๆ รวมถึงชุดนอน ถ้าท่านจะสวมชุดนอน ทิชชู ทิชชูเปียก ยาต่างๆ
  15. ผ้าขนหนูเช็ดตัว
  16. เกือบลืมถุงเท้า ความหนาธรรมดา อย่าเอาแบบบาง สำหรับกันยุงกัดตอนกลางคืนและ เดินรอบอ่างน้ำ เพราะท่านต้องเดินเท้าเปล่าแล้วอาจจะถูดกรวดบาดได้ ถ้าไม่บาดก็เจ็บเท้าล่ะค่ะ เราลองดูคืนนึง ไม่ใส่ถุงเท้า โอ้โห เจ็บ กรวดบาดเป็นแผลด้วย แต่ถ้าท่านคิดว่าทนได้ก็ไม่ต้องก็ได้ค่ะ
  17. เป็นสิ่งที่ไม่แนะนำจะให้เอาไป แต่ที่สวนโมกเราจะต้องนอนหมอนไม้ ถ้าท่านคิดว่าไม่ไหว เอาผ้าขนหนูหนาๆสำหรับห่อหมอนไม่ไว้ซักหน่อยก็ได้เหมือนกันค่ะ

น่าจะหมดแล้วค่ะ ลองถามใจตัวเองดูนะค่ะว่าอยากไปมั้ย แต่บอกได้ว่าดีจริงๆค่ะ เพราะเป็นสถานที่ที่สร้างมาด้วยความเข้าใจ ความรัก และความตั้งใจจริงๆของท่านพุทธทาส ไปแล้วไม่เสียเที่ยวหรอกค่ะ

ปิดท้ายขอเอาบ่อน้ำพุร้อนมายั่วหน่อย เป็นน้ำแร่ธรรมชาตินะค่ะ สามารถเข้าไปอาบได้ระหว่างปฎิบัติด้วย แต่เราไม่เคยไปหรอก เห็นสาวๆชอบไปกัน

Source: http://www.suanmok.com/2012-04-15-06-15-19.html, http://variety.thaiza.com, http://www.paint-by-me.com/activity/view.php?activity_id=7,

This entry was posted in สถานที่ปฎิบัติธรรม, อานาปานสติ and tagged , , , , , . Bookmark the permalink.

1 Response to Review: สวนโมกข์นานาชาติ

  1. Amarah R says:

    ขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ

Leave a comment